ความรุนแรงในครอบครัว
FAMILY VIOLENCE
ปิยธิดา สุรินทร์เปา นักวิชาการอิสระ
Download File บทความเรื่องความรุนแรงในครอบครัว FAMILY VIOLENCE
ความหมายของคำว่า "ความรุนแรง"
ความรุนแรง คือการทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งอาจจะเกิดจากธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือจากน้ำมือมนุษย์ก็ได้ ส่วนในอีกความหมายหนึ่ง ความรุนแรงคือสิ่งที่มาสกัดกั้นศักยภาพของชีวิต
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าความรุนแรงเป็นเรื่องเดียวกับความขัดแย้งและอำนาจความรุนแรงไม่ใช่อำนาจ ไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่เป็นจุดจบของสิ่งเหล่านั้นความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อผู้คนที่มาอยู่ร่วมกันในสังคมมีความปรารถนาที่แตกต่างกัน ย่อมก่อให้เกิดความขัดแย้งได้เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งบางครั้งมนุษย์เลือกใช้ความรุนแรงมายุติความขัดแย้ง เป็นเหตุให้เกิดความคิดว่าความรุนแรงคือความขัดแย้ง หรือหนักกว่านั้น
คือเกิดความเข้าใจว่าความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมชาติไปด้วย
ต้นเหตุของการใช้ความรุนแรง สามารถวิเคราะห์ได้จาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้
1. ความเชื่อ ผู้ใช้ความรุนแรงมักจะมีความเชื่อที่ผิด ๆ ว่า
- การทุบตีด่าว่าเป็นสิ่งที่ทำได้
- การใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการแก้ไขปัญหา
- ความรุนแรงควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้
- ผู้มีอำนาจมีสิทธิทำอะไรก็ได้กับผู้ที่ด้อยกว่า
- สามีเป็นใหญ่ ลูก ภรรยาคือผู้อ่อนแอ เป็นสมบัติของสามี หรือบิดามารดา
- ความรุนแรงเป็นเรื่องส่วนตัว มิใช่ประเด็นสาธารณะ
2. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้ความรุนแรงและผู้ถูกกระทำ
- ครอบครัวแบบสามีหรือบิดาเป็นใหญ่ สามีมีอำนาจเหนือภรรยาทั้งทางพละกำลัง รายได้ การศึกษา สามีใช้อำนาจในทางที่ผิดมาข่มเหงภรรยา เรียกว่า สามีต้องเป็นช้างเท้าหน้า ต้องเป็นผู้นำ ภรรยาต้องเป็นช้างเท้าหลัง เป็นผู้ตาม ต้องเชื่อฟัง
- ครอบครัวที่สามีด้อยอำนาจ ทำให้สามีเกิดปมด้อยจะข่มภรรยาเพื่อสร้างปมเด่น
- ความเชื่อว่าสามีเป็นเจ้าของภรรยา
- ความขัดแยังไม่ลงตัวในชีวิตแต่งงาน
- การขาดความรู้ในการดำเนินชีวิตคู่
- การไม่จดทะเบียนสมรส ฝ่ายหญิงย้ายไปอยู่กับฝ่ายชาย
3. ลักษณะส่วนตัวของผู้กระทำความรุนแรง
- เป็นกมลสันดาน ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เลียนแบบบิดามารดาที่ชอบใช้ความรุนแรงได้แบบอย่างจากหนังสือ โทรทัศน์ ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องรับผิดชอบชั่วดี มาจากครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น
- เป็นการเรียนรู้ว่าหากทำแล้วได้ผล ไม่มีใครว่าจะทำซ้ำและรุนแรงขึ้น
- เครียดและระบายออกโดยใช้ความรุนแรงกับคนอื่นที่ด้อยอำนาจกว่า บางครั้งดื่มสุราเพื่อให้กล้าแสดงความรุนแรงออกมาและโทษว่าเป็นความผิดของสุรา บุคคลประเภทนี้มักจะไม่กล้ากระทำกับคนที่มีอำนาจมากกว่า จะสุภาพนอบน้อมกับคนอื่น
- เจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่างที่ทำให้ควบคุมตนเองไม่ได้ เช่น โรคสมอง
ความหมายของครอบครัว
ครอบครัว ความหมายตามพจนานุกรม (ราชบัณฑิตยสถาน, 2542, น.396) หมายถึง ผู้ร่วมครัวเรือน ได้แก่ สามีภรรยาและบุตรครอบครัวใน
ครอบครัว ในความหมายทางสังคมวิทยา หมายถึง รูปแบบของการที่บุคคล 2 คน หรือกลุ่มบุคคลสร้างแบบ หรือโครงสร้างของการอยู่ร่วมกัน
ครอบครัว ในความหมายของนักจิตวิทยา หมายถึง สถาบันทางสังคมแห่งแรกที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อเป็นตัวแทนของสถาบันสังคมภายนอกที่จะปลูกฝังความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติกับสมาชิกรุ่นใหม่ของสังคมที่มีชีวิตอุบัติขึ้นในครอบครัว (ณัฐกานต์ เพ็ชรศรี, 2548, น.16)
สุรพร แสนบุญศิริ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาครอบครัวได้ให้ความหมายของครอบครัว คือกลุ่มบุคคลที่มีความผูกพันกันทางอารมณ์และจิตใจในการดำเนินชีวิตร่วมกัน รวมทั้งการพึ่งพิงทางสังคม เศรษฐกิจ และมีความสืบกันทางกฎหมายหรือสายโลหิต ครอบครัวบางครอบครัวอาจมีลักษณะเป็นข้อยกเว้นบางประการ จากลักษณะดังกล่าวก็ย่อมได้ และข้อยกเว้นนี้อาจหมายรวมถึงครอบครัวที่มีสมาชิกข้ามช่วงอายุ อาศัยอยู่ด้วยกัน เช่น ลุง ป้า น้า อา ปู้ ย่า ตา ยาย เป็นต้น
คลังปัญญาไทย ให้ความว่า กลุ่มคนซึ่งประกอบด้วยบุคคล 2 คน หรือมากกว่า 2 คนขึ้นไป มีความเกี่ยวข้องผูกพันกันทางสายโลหิต การสมรส หรือการรับเอาไว้ เช่น บุตรบุญธรรม คนใช้ คนสวน และอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครัวเรือน ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ครอบครัวเดี่ยวกับครอบครัวขยาย
ฏิญโญ ทองดี (อ้างใน สำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว, ม.ป.ป.. น.1) ได้อธิบายว่า
ครอบครัว หมายถึง กลุ่มคนตั้งแต่สองคนที่มาแต่งงานกัน หรือมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาอาศัยอยู่ร่วมกันในสถานที่เดียวกัน อาจจะมีหรือไม่มีการสืบสายโลหิตหรือวาจจะเลี้ยงดูผู้อื่นโดยการรับมาอุปการะ อีกทั้งยังอาจมีญาติพี่น้องหรือผู้อื่นมาอาศัยด้วยในสถานที่เดียวกัน
จิราพร ชมพิกุลและคณะ (อ้างใน สำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว, ม.ป.ป.. น.1) ได้สรุปความหมายของครอบครัวว่า หมายถึงกลุ่มบุคคลที่อาศัยอยู่ร่วมกัน มีความสัมพันธ์ผูกพันกันทางสายโลหิตหรือกฎหมาย โดยสมาชิกแต่ละคนจะมีบทบาทมีความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เช่น บิดามารดา สามีภรรยา บุตร และปู่ย่า ตายาย เป็นต้น
สรุปว่า ครอบครัว หมายถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคล จำนวนตั้งแต่ 2คนขึ้นไป อาศัยอยู่ร่วมกัน โดยมีความสัมพันธ์ทางสายโลหิต การสมรส หรือความผูกพันกันทางด้านจิตใจ โดยมีรูปแบบและลักษณะที่หลากหลายตามการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมประเพณี เศรษฐกิจ และสังคมซึ่งจะส่งผลการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของครอบครัว
รูปแบบและลักษณะของครอบครัว
ภิญโญ ทองดี (อ้างใน สำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว, ม.ป.ป. น.๓) ได้จัดประเภทครอบครัวและลักษณะประเภทต่างๆ รวมทั้งการกำหนดนับการเป็นสมาชิกและลำดับชั้นของครอบครัวแต่ละประเภทเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการมองภาพรวมของครอบครัว ดังนี้
1. ครอบครัวที่จัดตามลำดับการก่อตั้งและขนาดของครอบครัว โดยพิจารณาจากลำคับที่มีการก่อตั้งครอบครัวของคนในรุ่นต่าง ๆ รวมไปถึงขนาดของครอบครัว ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้
1.1 ครอบครัวเดี่ยว คือ ครอบครัวที่ถือเป็นแก่นแท้หรือแกนหลักของครอบครัวในความหมายที่แท้จริง เพราะก่อตั้งขึ้นด้วยการที่คนต่างเพศสองคนตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน มีความสัมพันธ์ฉันท์สามี -ภรรยาและสืบทอดสายโลหิตด้วยการให้กำเนิดบุตร หรือหากไม่มีบุตรโดยสายโลหิตก็อาจจะมีการรับ เลี้ยงดูผู้อื่นมาเป็นบุตรบุญธรรม ครอบครัวเดี่ยวในลักษณะเช่นนี้ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นแกนหลักของครอบครัว คือ สามีภรรยาหรือพ่อแม่ลูก สมาชิกมืความสัมพันธ์และผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น มีการสืบทอดสายโลหิตเพียงทอดเดียว คือจากพ่อแม่สู่ลูก สมาชิกในครอบครัวจึงมีไม่มากนัก มักจะพบครอบครัวประเภทนี้ในสังคมเมืองหรือสังคมสมัยใหม่ บางครั้งจึงมีการเรียกครอบครัวประเภทนี้ว่า ครอบครัวสมัยใหม่
1.2 ครอบครัวขยาย เป็นครอบครัวที่แตกแขนงจำนวนสมาชิกออกไปจากแกนเดิมของครอบครัว คือ นอกจากจะประกอบด้วยวงศาคณาญาติที่อาศัยร่วมอยู่ ยังอาจหมายถึงบุคคลอื่นที่มาสมทบในภายหลัง โดยนับรวมเข้าร่วมเป็นสมาชิกของครอบครัวด้วย สมาชิกที่เป็นบุคคลอื่นที่มาจากสมทบและนับรวมเป็นสมาชิกของครอบครัวนั้น อาจขยายจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย การสืบทอดตามสายโลหิตรุ่นต่อรุ่น หรืออาจมาสมทบเพิ่มเติมด้วยความผูกสมัครรักใคร่ บางครั้งจึงเรียกครอบครัวประเภทนี้ว่า"ครอบครัวร่วม" ซึ่งแบ่งออกเป็นลักษณะ คือครอบครัวขยายที่มีความสัมพันธ์โดยสมรส ครอบครัวแอบแฝง หรือครอบครัวหลายผัวหลายเมีย ครอบครัวภาระหรือครอบครัวจำเป็น เป็นครอบครัวที่ฝ่ายบิดาหรือมารดาไม่อาศัยอยู่ด้วยในครัวเรือนเดียวกัน แยกไปอยู่ต่างหาก ด้วยเหตุผลความจำเป็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
2. ครอบครัวที่จัดแบ่งประเภทตามการสืบสายโลหิต แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ดังนี้
2.1 ประเภทสืบสายโลหิตจากทางฝ่ายบิดา
2.2 ประเภทสืบสายโลหิตจากทางฝ่ายมารดา
3. ครอบครัวที่จัดแบ่งประเภทตามที่อยู่อาศัยของคู่สมรส จัดแบ่งเป็น ๓ ประเภทคือ
3.1 ครอบครัวที่อยู่อาศัยกับฝ่ายหญิง
3.2 ครอบครัวที่อยู่อาศัยกับฝ่ายชาย
3.3 ครอบครัวที่แยกอาศัยอยู่เป็นเอกเทศหรือครอบครัวอิสระ
4. ครอบครัวที่จัดแบ่งตามอำนาจของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว แบ่งได้ดังนี้
4.1 ครอบครัวที่ยกให้สามีเป็นใหญ่
4.2 ครอบครัวที่สามีและภรรยามีอำนาจเท่าเทียมกัน
5. ครอบครัวที่จัดแบ่งลักษณะของการสมรส เป็นการจัดแบ่งประเภทของครอบครัวตามลักษณะของการร่วมใช้ชีวิตแบบสามีภรรยา แบ่งเป็น
5.1 ครอบครัวผัวเดียวเมียเดียว เป็นครอบครัวที่คู่ครองทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างก็ยึดมั่นในการครองชีวิตคู่กับคู่ครองของตน
5.2 ครอบครัวหลายผัวหลายเมีย เป็นครอบครัวขนาคใหญ่ที่ฝ่ายชายหรือหญิง
อาจมีคู่ครองอยู่ร่วมกันในครัวเรือนเดียวกันฉันท์สามีภรรยา
5.3 ครอบครัวหนึ่งชายหลายหญิง สามีมีภรรยาได้หลายคน ชายเป็นใหญ่ในครอบครัว บุตรที่เกิดขึ้นจากภรรยาทั้งหลายในครัวเรือนนั้นใช้นามสกุลบิดาและกรรยาอาจเป็นพี่น้อง เป็นญาติหรือมาจากต่างตรอบครัวกันก็ได้
5.4 ครอบครัวหนึ่งหญิงหลายชาย ภรรยามีสามืได้หลายคน สามีของหญิงอาจเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เป็นญาติสนิทกัน หรือมาจากต่างตรอบครัวกันก็ได้ เด็กที่เกิดจากมาใช้นามสกุลฝ่ายหญิง มักเกิดขึ้นในสังคมด้อยพัฒนา
5.5 ครอบครัวหลายหญิงหลายชาย
ความสำคัญของครอบครัว
สถาบันพื้นฐานของการสร้างคนในชาติ คือ ครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นผู้สร้างบุคลิกภาพของคนการเจริญเติบโตทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการทางด้านร่างกาย สติปัญญาอารมณ์หรือสังคม ย่อมขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของบิดามารดา ซึ่งเรามักกล่าวเสมอว่า บิดามารดาคือครูคนแรกของลูก แม้ว่าลูกจะเติบ โตจนเข้าโรงเรียนได้แล้วบิดามารดาก็ยังต้องทำหน้าที่เสมือนครูอยู่เช่นเดิม นั่นคือ คอยเอาใจใส่ อบรมสั่งสอนลูกด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิริยามารยาทที่ควรประพฤติ บาปบุญคุณโทษ สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ เป็นต้น ฉะนั้นครอบครัวจึงเป็นหน่วยแรกที่สุดของสังคม เพราะเป็นสถาบันแรกที่ทำหน้าที่วางรากฐานให้แก่สถาบันอื่นๆ ในสังคม โดยไม่มีสถาบันใดสามารถทำหน้าที่นี้แทนครอบครัวได้ ฉะนั้น ถ้าบิดามารดาให้ความรักความอบอุ่น ถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ตลอดจนอบรมบ่มนิสัย ช่วยกันสั่งสอนชักจูงให้ลูกประพฤติดีแล้ว ก็นับได้ว่าครอบครัวได้ทำหน้าที่ที่สมบูรณ์ในการสร้างคนของชาติเพื่อพัฒนาสังคม และมีชีวิตที่ผาสุกในระบบประชาธิปไตยในอนาคต ครอบครัวไทยแต่เดิมมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย มีสมาชิก
ครอบครัวหลายช่วงอายุอย่างน้อย 3 รุ่น คือ 1) รุ่นปู่ย่า ตายาย 2) รุ่นพ่อแม่ 3) รุ่นลูก เป็น ครอบครัวที่มีความร่วมมือกันในกิจการด้านต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การอบรมเลี้ยงดู การปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรมค่านิยม ความเอาใจใส่ในสภาวะวิกฤต คนในครอบครัวมีความอบอุ่นและปลอดภัย ครอบครัวได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ และมีผลต่อคุณภาพสังคม ครอบครัวมีหน้าที่เลี้ยงดูลูกให้เจริญเติบโต แต่เนื่องจากครอบครัวเป็นหน่วยมูลฐานของสังคม เพราะสังคมจะออกมาเป็นรูปแบบใด ส่วนใหญ่จะขึ้นกับการดำเนินชีวิตหรือการอบรมเลี้ยงดูลูกของคนในครอบครัว ฉะนั้น ทุกครอบครัวต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสภาพสังคมในอนาคตด้วย นั่นคือ ถ้าทุกครอบครัวได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีแล้ว ก็อาจจะคาดหวังได้ว่า สังคมในอนาคต ย่อมเป็นสังคมที่ผาสุกและมีความเป็นปีกแผ่นมั่นคงในการพิจารณา ความสำคัญของครอบครัวที่มีต่อมนุษย์นั้น ทางที่ดีที่สุด ก็คือ การพิจารณาดูบทบาทและหน้าที่ของครอบครัวและหน้าที่ของครอบครัวว่ามีอยู่ประการใดบ้าง และหน้าที่เหล่านั้นได้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์แต่ละคนและตอบสนองมนุษย์ในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมอย่างไรบ้าง ถ้าการทำหน้ที่ของครอบครัวสามารถตอบสนองความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ได้มาก ครอบครัวก็มีความสำคัญต่อมนุษย์มากเช่นเดียวกัน
นักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาได้ทำการศึกษาหน้าที่ของครอบครัวแล้ว พบว่า
ครอบครัวมีบทบาทที่สำกัญมากต่อกรพัฒนาบุคลิกภาพของคนและยังทำหน้าที่สนองความต้องการของมนุษย์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและจิตใจ การทำหน้าที่ของครอบครัวอาจแยกได้ 4 ประการดังนี้
1) หน้าที่ผลิตสมาชิกใหม่ให้แก่สังคม เพื่อทดแทนสมาชิกของสังคมที่สิ้นชีวิตลง
2) หน้าที่เลี้ยงดูสมาชิกใหม่ให้มีชีวิตรอด เนื่องจากทารกแรกเกิดและเด็กไม่สามารถดูแลตนเองได้
3) หน้าที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่สมาชิกใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
4) หน้าที่หล่อหลอมกล่อมเกลาทางสังคมเป็นบทบาทที่สำคัญมาก เพราะโดยธรรมชาติ
ของมนุษย์จะไม่รู้ว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม เราจะใช้สัญชาติญาณเป็นตัวกำหนดการกระทำ ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการขัดเกลาทางสังคมเพื่อให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับกติกากฎระเบียบและบรรทัดฐานของสังคมเพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสงบสุข ถ้าไม่มีจะทำให้เกิดความยุ่งเหยิง ครอบครัวจึงต้องทำหน้าที่หล่อหลอมเด็กให้เป็นสมาชิกที่พึงปรารถนาของสังคม ดังนั้นความสำคัญของครอบครัวจึงพอสรุปได้ว่า
1) ครอบครัวเป็นเบ้าหลอมทางบุคลิกภาพและคุณลักษณะของสมาชิก การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครัวเรือนเดียวกัน มีการถ่ายโยงค่านิยม ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ความเชื่อ ความศรัทธาและวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตจากสมาชิกรุนหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง ตลอดจนมีการพักผ่อนสันธนาการ และการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน บรรยากาศ และวิธีการ อบรมสั่งสอน การเป็นพ่อแบบ แม่แบบ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งโดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว สิ่งแวดล้อมภายในครอบครัวไม่ว่าจะทางบวกหรือในทางลบได้ค่อยๆ หล่อหลอมพื้นฐานทางบุคลิกภาพและคุณลักษณะทางด้านร่างกาย สังคม อารมณ์และจิตใจของสมาชิกในครอบครัวในรูปแบบต่างๆ มีผลต่อโดยตรงต่อการแสดงบทบาททางสังคมของสมาชิกในสถาบันอื่นต่อไป
2) ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานทางการศึกษาของสังคม ครอบครัวเป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้ ฝึกฝนและอบรมให้สมาชิกได้เรียนรู้ระเบียบสังคมหรือการขัดเกลาทางสังคมทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
3) ครอบครัวสร้างคุณภาพชีวิต คุณลักษณะต่างๆ ที่บ่งชี้ถึงลักษณะของชีวิตที่มีคุณภาพข้างต้นนี้ ครอบครัวจะเป็นสถาบันที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดขึ้นกับชีวิตของสมาชิกในครอบครัวได้
4) ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานในการพัฒนาสังคม สถาบันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งใน
การพัฒนาสังคมและ ชุมชน เช่นเดียวกับสถาบันทางสังคมอื่นๆ วัฏจักรของการเกิด การเติบโตเข้าสู่วัยเรียน วัยทำงาน วัยแต่งงาน วัยเลี้ยงดูลูกของตนเอง วัยดูแลพ่อแม่เมื่อแก่ชราลง สอนและฝึกให้ทุกคนต้องมีบทบาทหน้าที่ในฐานะต่างๆ ในครอบครัว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเข้าไปมีบทบาทภาระหน้าที่และมีความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกของชุมชนหรือสังคมนั้นๆ
5) ครอบครัวเป็นหน่วยวางรากฐานการปกครองในระดับต่างๆ ครอบครัวทำหน้าที่ปฐมภูมิที่สำคัญที่สุดคือ การให้กำเนิดเด็ก ให้การเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้การศึกษา สร้างคนให้รู้จักระเบียบสังคม การถ่ายทอดวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังรับไว้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพสังคมของชนกลุ่มนั้น เด็กที่เกิดและเจริญเติบโตมาจากครอบครัวแบบใด ย่อมได้รับการถ่ายทอดแนวความคิดเจตคติและพฤติกรรมต่างๆ ติดมาจากครอบครัวเดิมไม่มากก็น้อย และนำไปใช้ปฏิบัติในสังคมที่เขาอยู่อาศัย
นอกจากนี้ ครอบครัวยังเป็นเสมือนแหล่งบ่มเพาะทักษะทางการเมือง การอยู่ร่วมกันอย่างมีกติกา มีบทบาท หน้ที่รับผิดชอบ เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน การตัดสินในร่วมกัน รู้จักรับฟังและสื่อสารเจรจาประนีประนอมกันด้วยความรัก ความเข้าใจและเหตุผล รู้จักการให้อภัยกัน มีการแบ่งอำนาจหน้าที่และแบ่งงานกันในครอบครัวอย่างชัดเจน จะเห็นว่าในสมัยก่อนแม้ภรรยาจะมีฐานะเป็นรองสามี แต่ก็มีการแบ่งหน้าที่กัน ซึ่งฝ่ายสามีมีอำนาจการตัดสินใจภายนอกบ้าน การเป็นผู้นำ ในขณะเดียวกันภาระการดูแลบ้านเรือนและผู้คนในบ้านเป็นหน้าที่ของฝายภรรยา สำหรับผู้สูงอายุจะทำหน้าที่อบรม สั่งสอน ขัดเกลาสมาชิกที่เป็นเด็กให้เรียนรู้การดำเนินชีวิตเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล ธัญญา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2545) สรุปเพื่อเติมว่า ครอบครัวเป็นสถาบันสังคมที่มีขนาดเล็กที่สุด คือมีคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แต่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นพื้นฐาน ในการผลิตคนหรือสมาชิกให้แก่สังคม ดังนั้น ครอบครัวจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ดังนี้คือ
1. เป็นสถาบันพื้นฐานแรกที่สุดของมนุษย์ ทำหน้าที่ในการหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ของสมาชิกเกิดใหม่ในครอบครัวอันได้แก่ทารกและเด็ก
2. การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัวเละการให้การศึกษาในครอบครัวมีอิทธิพลต่อระดับคุณภาพและบุคลิกภาพของคน รวมทั้งค่านิยม เจตคติและพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน วิถีชีวิตของสมาชิกในครอบครัวมีอิทธิพลต่อกันและกัน
3. ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานของสังคมที่ประกอบด้วยวิถีชีวิตของสมาชิกครอบครัวทุกคน วิถีชีวิตนี้รวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา ศิลปวัฒนธรรมและจริยธรรมซึ่งมีผลต่อคุณภาพของสังคม
4. ครอบครัว ชุมชน สังคม สิ่งเวคล้อม มีผลกระทบต่อกันและกัน ต่างมีกระบวนการวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีการหยุดนิ่ง ซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคล
5. ปัญหาสังคมหลายประการจะป้องกันโดยสถาบันครอบครัว สถาบันครอบครัวที่รวมตัวกันได้ะเป็นพลังกลุ่ม / ชุมชน ที่สามารถพัฒนาป้องกัน และแก้ไขปัญหาของตนเองได้
กล่าวโดยสรุป ความสำคัญของครอบครัวเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมมีความผูกพันเกี่ยวเนื่อง วางรากฐานการปกครองในระดับต่างๆ ของครอบครัวทำหน้าที่ปฐมภูมิที่สำคัญที่สุดคือการให้กำเนิดเด็ก ให้การเลี้ยงดูผู้ยาว์ ให้การศึกษา สร้างคนให้รู้จักระเบียบสังคม หากครอบครัวทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ ก็จะสามารถสร้างสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรม ซึ่งจะลดปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดียิ่ง กับทั้งจะสามารถเป็นทรัพยากรประเทศชาติที่มีคุณภาพต่อไป
หน้าที่ของครอบครัว
สุพัตรา สุภาพ (2550, น. 64-68) กล่าวถึงหน้าที่ของครอบครัวไว้ ดังนี้
1) สร้างสรรค์สมาชิกใหม่ (Reproduction) เพื่อให้สังคมสามารถดำรงอยู่ได้ การมีสมาชิกใหม่ต้องมีให้สมดุลกับทรัพยากรภายในประเทศ
2) บำบัดความต้องการทางเพศ (Sexual Gratification) ซึ่งออกมาในรูปของการสมรสเป็นการลดปัญหาทางเพศบางอย่าง เช่น ข่มขืน การสมรสจึงเป็นสิ่งจำเป็นในสังคมที่มีการจัดระเบียบ เพราะการสมรสคือ วิธีการหนึ่งที่สังคมเข้ามาควบคุมความสัมพันธ์ให้อยู่ในขอบเขต
3) เลี้ยงดูผู้เยาว์ให้เจริญเติบโตขึ้นในสังคม ครอบครัวจึงมีหน้าที่เลี้ยงดูบุตรตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งเติบใหญ่ การเลี้ยงดูจากที่อื่นแม้ทำได้ก็ไม่ดีเท่ากับครอบครัว ครอบครัวจึงเป็นสถาบันที่สำคัญมากต่อระบบการพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็ก เป็นสถานที่ที่เลี้ยงดูเด็กให้เป็นคนที่เจริญเติบโตสมบูรณ์ ไม่ให้เกิดปัญหาสังคม
4) ให้การอบรมสั่งสอนแก่เด็กให้รู้จักระเบียบของสังคม (Socialization) ครอบครัวเป็นแหล่งการอบรมเบื้องต้นที่มีอิทธิพลต่อเด็กมากที่ สุด เป็นสถาบันเตรียมตัวเด็กให้ออกไปเผชิญกับสิ่งแวดล้อม ช่วยอบรมเด็กให้รู้จักกฎหมายคุณค่าแบบของความประพฤติ ฯ ลฯ สอนให้เด็กปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมในสังคม
5) กำหนดสถานภาพ (Social Placement) เราได้ชื่อสกุลมาจากครอบครัว ซึ่งส่วนมากก็เปลี่ยนได้ในเวลาต่อมา สถานภาพเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่นเป็นลูกคนรวย เป็นลูกพ่อค้า เป็นลูกชาวนา สถานภาพอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสังคมที่บุคคลอาศัยอยู่
6) ให้ความรักความอบอุ่น (Affection) ครอบครัวเป็นแหล่งที่สมาชิกได้รับความรักความอบอุ่นอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นแหล่งที่ให้หลักประกันว่าจะมีคนที่รักเราจริงและรักเราเสมอ ครอบครัวจะเป็นแหล่งให้กำลังใจและปลุกปลอบใจ เพื่อให้สมาชิกสามารถผ่านอุปสรรคไปได้ สรุปแล้วครอบครัวจึงเป็นแหล่งให้ความรัก ความคุ้มครองและความมั่นคงทางด้านจิตใจแก่สมาชิกทำให้สมาชิกมีพลังใจในการ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
ลักษณะของครอบครัวที่พึงประสงค์
สุรพร แสนบุญศิริ ได้เสนอว่า ครอบครัวที่มีความสุข ต้องมีความรักและความอบอุ่นในครอบครัวจะมีผลต่อสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
1.ต้องเอาใจใส่ดูแลเอื้ออาทรต่อกัน
2. ต้องรู้จักคนที่เรารัก
3. ต้องเคารพกันและกัน ตลอดทั้งเข้าใจกัน
4. ต้องมีความรับผิดชอบ
5. ต้องมีความไว้วางใจกัน คือมีความเชื่อถือและไว้ใจ
6. ต้องให้กำลังใจกันและกัน ซึ่งกำลังใจก็คือพลัง
7. ต้องให้อภัยกันและกัน
8. ต้องรู้จักสื่อสาร ในครอบครัว
9. ต้องใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณค่าและมีคุณภาพ
10.ต้องมีการปรับตัวตามสภาวะที่เปลี่ยนแปลงของบุคคลในครอบครัวปรับตัวกับภาวะความเปลี่ยนแปลง
11. ต้องรู้จักภาวะหน้าที่ในครอบครัวและช่วยเหลือกันและกัน
12. มีความใกล้ชิดทางสัมผัส โดยทำจากใจจริง
นอกจากนั้น คณะอนุกรรมการด้านครอบครัว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (2541, น.7-8) ยังได้เสนอคุณลักษณะของครอบครัวไทยที่พึงประสงค์ไว้ดังนี้
1. สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีความรักใคร่กลมเกลียว สมานฉันท์ ช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้ออาทร การพูดจาให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน มีการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์
2. สมาชิกในครอบครัวมีการทำกิจกรรมร่วมกันและใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
3. พ่อแม่หรือหัวหน้าครอบครัว ต้องทำตนเป็นแบบอย่างมีคุณธรรม ไม่เลือกปฏิบัติไม่ทำร้ายกันและกัน อบรมเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวให้เป็นคนดี และมีประโยชน์ต่อสังคมปฏิบัติตามหลักคุณธรรม
4. พ่อ แม่ หัวหน้าครอบครัว หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวถ่ายทอดการเรียนรู้และภูมิปัญญาต่อสมาชิก และส่งเสริมให้ได้รับการศึกษา มีความสนใจใฝ่รู้ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และรู้จักให้เหตุผล
5. สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพดี รู้จักดูแลสุขภาพอนามัยของตนเอง สถานที่อาศัยให้สะอาด ถูกสุขลักษณะและเป็นระเบียบ
6. สมาชิกในครอบครัวบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม มีส่วนร่วมในการทะนุบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อมศิลปะและวัฒนธรรม
ความหมายความรุนแรงในครอบครัว
ความรุนแรงในครอบครัว (Family violence) คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (2539) ได้ให้ความหมายของความรุนแรงในครอบครัวไว้ว่า เป็นการทำร้ายกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวให้บาดเจ็บทางร่างกาย และข่มขืนจิตใจให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำในสิ่งที่เขาไม่ปรารถนา ระดับความรุนแรงนั้นแตกต่างกัน ตั้งแต่การทะเลาะโต้เถียงกัน การทำร้าย ร่างกายด้วยอวัยวะหรืออาวุธ ไปจนถึงการทำลายชีวิตหรือทำลายพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคล อาทิ การกระทำหรือละเลยที่เป็นข้อบกพร่องในบทบาทหน้าที่ของสามีภรรยาหรือบทบาทหน้าที่ของบิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตรอย่างเหมาะสม
"ความรุนแรงในครอบครัว" ที่เกิดจากการทำร้ายซึ่งกันและกัน มีหลายกรณี คือ
- · สามีทำร้ายภรรยา
- · การทำร้ายคู่สมรส
- · ผู้หญิงถูกทำร้ายจากคู่รักของตนเอง
- · บิดาหรือมารดาทำร้ายบุตร
- · ผู้ที่แข็งแรงกว่าทำร้ายบุพการีที่มีความชราภาพ หรือญาติผู้ใหญ่ที่มีความอ่อนแอทางสรีระ
- · ผู้ที่ต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจสังคม
- · ภรรยาทำร้ายสามี ซึ่งมีเพียงส่วนน้อย
ผู้กระทำความรุนแรงโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชายจำนวนถึงร้อยละ 90และจะกระทำกับบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิด โดยเฉพาะความรุนแรงที่เกิดจากการล่วงละเมิดทางเพศในครอบครัว เด็กจะได้รับผลกระทบและสะเทือนใจมาก เป็นหลายเท่ายิ่งกว่าบุคคลภายนอกเป็นผู้กระทำ โดยผู้หญิงที่ถูกทำร้ายจะเกิดภาวะภยันตรายรุนแรงละเมิดทางเพศในครอบครัว เด็กจะได้รับผลกระทบและสะเทือนใจมาก เป็นหลายเท่ายิ่งกว่าบุคคลภายนอกเป็นผู้กระทำ โดยผู้หญิงที่ถูกทำร้ายจะเกิดภาวะภยันตรายรุนแรงเป็นโรคทางภาวะจิตใจเป็นผู้ที่เรียกว่า พีทีเอสดี (Post Traumatic Stress Disorder)" มีอาการวิตกกังวลเป็นประจำ ผวานอนฝันร้าย หากมีอาการมากจะหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย หรือตอบโต้สามีจนถึงกับพลั้งมือฆ่าได้ ซึ่งผลกระทบของความรุนแรงนอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตของผู้หญิงและเด็กแล้ว ยังส่งผลต่อสังคมทั้งในด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ด้านสวัสดิการสังคมที่รัฐและเอกชนต้องให้ความช่วยเหลือต่อผู้ประสบต่อชะตากรรมซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาลอย่างที่ดาดคิดไม่ถึง การปกปิดและปล่อยให้เรื่องราวเงียบไปนั้นในความเป็นจริงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับเป็นการสนับสนุนให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก แท้จริงแล้วการนิ่งเฉยของคนในบ้านหรือคนในชุมชนต่อปัญหานี้ นอกจากเป็นการทำลายระบบกลไกคุ้มครองทางสังคมที่ว่าผู้กระทำผิดควรได้รับการลงโทษแล้ว ยังอาจทำให้ความรุนแรงในชีวิตคู่ทวีความรุนแรงหรือขยายวงกว้างออกไป เพราะผู้กระทำรุนแรงไม่ได้สำนึกว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันยังเป็นการดอกย้ำความเชื่อที่ว่า "ความรุนแรงในบ้านเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นปกติธรรมดา" เป็นการส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงในชีวิตคู่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจว่าในอดีตที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ในสังคมและรัฐมักจะมองข้ามและละเลยปัญหาการที่ผู้หญิงถูกกระทำรุนแรงโดยคู่ตนเอง
สาเหตุของปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
ตัวแปรที่ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ ความเปราะบาง คือ แนวโน้มที่จะเกิดปัญหา และความดึงเครียด คือ สิ่งที่ทำให้บุคคลเสียสมดุล ซึ่งอาจเกิดจากภายในตัวบุคคลเองที่ความสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม และโอกาสที่จก่อให้เกิดการกระทำความก้าวร้าวรุนแรงมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของตัวแปรทั้งสอง ถ้าคน ๆ หนึ่งมีทั้งความเปราะบางและความตึงเครียดสูง บุคคลนั้นก็จะปรับตัวไม่ได้ เกิดการเสียสมดุลและแสดงพฤติกรรมความรุนแรงออกมา ในทางกลับกัน ถ้าคน ๆ หนึ่งมีความเปราะบางในตัวเองสูง แต่มีความเครียดน้อย หรือมีความเปราะบางในตัวเองต่ำ แต่มีความตึงเครียดสูง ก็จะไม่เกิดปัญหาความรุนแรงตามมา ครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหามักเกิดจากความกดดัน และความเครียดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ระดับบุคคล ได้แก่ บุคลิกภาพอันเป็นผลจากพันธุกรรม การตั้งครรภ์ การคลอด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ พิการ ปัญญาอ่อน การเลี้ยงดู ระดับสติปัญญา เคยเห็นหรือเคยถูกทำร้ายในวัยเด็ก มีความภูมิใจในตัวเองต่ำ มีการใช้สุรา สารเสพติดต่างๆการขาดทักษะการควบคุมอารมณ์ เจ็บป่วยทางจิต
2. ระดับครอบครัว เช่น ความยากจน ปัญหาทางเศรษฐกิจ พ่อแม่มีอายุน้อย เป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง เป็นพ่อหรือแม่ที่เลี้ยงลูกโดยลำพัง เป็นครอบครัวใหญ่อยู่อย่างแออัด การหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก ผู้ปกครองมีการศึกษาไม่สูง มีทัศนคติในการใช้ความรุนแรงในทางบวก หรือเคยกระทำต่อกันระดับเพื่อนบ้านและชุมชน ได้แก่ ย้ายที่อยู่บ่อย ๆ อยู่ในชุมชนที่ยากจนขาดแคลน แออัด เป็นครอบครัวเดี่ยว ไม่ค่อยได้ติดต่อจากสังคมภายนอก มีอัตราการตกงานสูง มีแหล่งสุรา สารเสพติด มีแก๊ง เป็นชุมชนไม่ช่วยเหลือ ไม่ร่วมมือกัน และชุมชนยอมรับว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติของสามีภรรยา
4. ระดับสังคม ได้แก่ สังคมที่กำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ มีการแบ่งชนชั้นเชื้อชาติ วัฒนธรรม มีการจำหน่ายสุรา สารเสพติด รวมทั้งอาวุธต่างๆ ทั่วไป สื่อต่างๆมักแสดงเรื่องความรุนแรง เห็นได้ว่า ปัจจัยกลุ่มนี้มักถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเหตุหลักของปัญหานี้ซึ่งไม่ตรงกับความจริง
Murray A. Straus ( 1977)' ได้ศึกษาต่างวัฒนธรรมเรื่องการทะเลาะวิวาทระหว่างสามีภรรยา พบสาเหตุที่เป็นปัจจัยรุนแรงนำไปสู่การทะเลาะวิวาท 4 ประการ คือ
1 . การบ่มเพาะความอึดอัดไม่พอใจระหว่างสามีภรรยาเป็นเวลานาน
2. กิจกรรมของครอบครัวและความสนใจของสามีภรรยาที่แตกต่างกันกล่าว คือ เวลาของสามีและกรรยาไม่ตรงกันในการกระทำกิจกรรมของครอบครัว
3. เวลาของสามีและภรรยามุ่งไปสู่การทำงานเฉพาะกิจของตนเอง ขาดความเอาใจใส่ต่อกัน
4. ความไม่เสมอภาคระหว่างเพศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่สามีจะแสดงบทบาทผู้มีอำนาจเหนือกว่าต้องการให้ภรรยาสมยอมในทุกเรื่อง และทำให้ภรรยาต้องอยู่ในภาวะพึ่งพาสามีโดยเห็นว่าการหย่าร้างจะนำผลร้ายมาสู่ลูกๆ
ผลกระทบจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
ผลกระทบความรุนแรงเกิดต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ถูกกระทำและคนที่อยู่รอบข้าง เช่น กรณีพ่อทุบตีแม่ เด็กอาจจะถูกทุบตีไปด้วยเด็กที่ถูกทุบตี ทำร้ายหรือได้เห็นความรุนแรงเสมอ ๆ จะฝังใจเรื่องดวามรุนแรง เด็กจะเข้าใจผิดว่าปัญหาแก้ไขได้ด้วยความรุนแรงซึ่งแท้จริงแล้วปัญหาทุกปัญหาควรแก้ไขด้วยเหตุผล ด้วยการพูดจาทำความเข้าใจ นอกจากนี้การอยู่ในภาวะแวดล้อมที่มีความรุนแรงเด็กจะซึมซับเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรง เด็กจะกระทำความรุนแรงต่อเพื่อนและเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกระทำรุนแรงต่อครอบครัวตนเอง ต่อสัตว์เลี้ยงของตนเอง ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า "ความรุนแรง" ถ่ายทอดจากพ่อแม่ ลูก หลาน เหลนต่อไปถ้าเราปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นไม่ว่าจะมากหรือน้อย ความรุนแรงก็อยู่ในสังคมดลอดไปจึงเป็นเหตุผลว่าเราต้องป้องกันมิให้ความรุนแรงแพร่ขยายถ่ายทอดเป็นวัฎจักรที่ไม่ดีไปเรื่อยๆ
แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
การศึกษาความรุนแรงในครอบครัวเริ่มเกิดขึ้นในช่วงปี 1960 โดยเน้นไปยังการทำร้ายเด็ก และการศึกษาโดยส่วนใหญ่ก็มุ่งไปยังคุณลักษณะของบุคคลที่ทำร้าย ผลการศึกษามองว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และหากเกิดขึ้นก็เป็นเพราะปัญหาทางจิต ( Psychopathology) ของบุคคลที่กระทำรุนแรง จนกระทั่ง
ยุดตันของทศวรรษ 1970 นักสังคมวิทยาเริ่มหันมาสนใจศึกษาความรุนแรงในครอบครัว
ในระดับที่กว้างขึ้น และผลการศึกษาก็สร้างความแปลกใจให้กับข้อดันพบที่ว่าความรุนแรงระหว่างสมาชิกในครอบครัวเกิดขึ้นมากกว่าความรุนแรงที่ได้รับจากบุคคลภายนอกครอบครัว (Gls and Strauss, 1979)' ทั้งๆ ที่บ้าน คือ สถานที่ที่ถูกมองว่าปลอดภัย แต่ความรุนแรงกลับเกิดขึ้นมากกว่าสถานที่อื่น
งานของ Gells and Strauss (1979) ได้แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวไม่ได้เป็นสถานที่ที่สงบราบเรียบ แต่ครอบครัวเป็นสถานที่ที่มีแนวโน้มในการเกิดความขัดแย้งมากสถาบันหนึ่ง ซึ่ง Gells และ Strauss ได้เสนอเงื่อนไขด้านบริบทของครอบครัวที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ดังนี้ คือ
1. ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันยาวนาน (Time as risk) เนื่องจากในแต่ละวันสมาชิกครอบครัวเดียวกันจะใช้เวลาในการปฏิสังสรรค์กันวันละหลายชั่วโมง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงในครอบครัวจึงมีมากกว่าสมาชิกในระบบสังคมอื่นๆ
2. ขอบข่ายของกิจกรรมและความสนใจที่กว้างและหลากหลาย (range of activities and interest) การปฏิสังสรรค์ของกลุ่มอื่น ๆ มักมีจุดมุ่งหมายเฉพาะ ในขณะที่การปฏิสังสรรค์ของครอบครัว คลอบคลุมกิจการในหลายๆ ด้าน จึงมีเหตุการณ์ที่จะเกิดข้อขัดแย้งและไม่เป็นไปตามดวามหวังได้มากกว่ากลุ่มทางสังคมอื่นๆ เพราะไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของสมาชิกในครอบครัวได้อย่างครบถ้วน
3. ความเข้มขันของความเกี่ยวพัน (intensity of involvement) เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง เมื่อคนในครอบครัวคนหนึ่งทำอะไรผิดพลาด เราอาจจะรู้สึกเดือดร้อนใจมากกว่าการที่คนนอกครอบครัวทำเรื่องเดียวกัน และอาจนำไปสู่ข้อขัดแย้งที่เป็นสาเหตุของดวามรุนแรงได้
4. กิจกรรมที่มีความขัดแย้งกัน (impinging activities) กิจกรรมในครอบครัว กล่าวคือ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งจะเสียผลประโยชน์ ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นจากการที่คนแต่ละคนอยากทำกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น คนหนึ่งต้องการดูภาพยนตร์ ในขณะที่อีกคนหนึ่งต้องการเล่นกีฬาหรือความขัดแย้ง อาจเกิดจากการที่แต่ละคนมีนิสัยความเคยชินแตกต่างกัน เช่น คนหนึ่งทิ้งของเกะกะในขณะที่อีกคนคอยตามเก็บ
5. สิทธิในการกำหนดพฤติกรรม (right to influence) สมาชิกในครอบครัวเดียวกัน มักคิดว่าตนมีสิทธิในการที่จะกำหนดพฤติกรรมของกันและกัน ดังนั้นความรู้สึกไม่พอใจในพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งจึงเลยเถิดไปถึงขั้นพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอื่น ทำให้เกิดความไม่พอใจกันและกัน ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งขึ้นได้
6. ความแตกต่างทางด้านอายุและเพศ (age and sex discrepancies) การที่ครอบครัวประกอบไปด้วยบุคคลต่างเพศ ต่างวัย ซึ่งมักจะมีโลกทัศน์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้ครอบครัวเป็นสถานที่ที่มีความขัดแย้งระหว่างสามีและภรรยาระหว่างพ่อแม่และลูก
7. บทบาทที่ได้มาแต่กำเนิด (ascribed role) กล่าวคือ ความไม่เสมอภาคทางเพศ กำหนดโดยสังคม โดยที่มีพื้นฐานมาจากความแตกต่างทางชีวภาพ ดังนั้นในสังคมที่เน้นความเสมอภาค การแบ่งแยกเพศในครอบครัวย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งได้ หรือในกรณีที่สามีไม่สามารถทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวตามที่สังคมกำหนดได้ ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งได้เช่นกัน
8. ความเป็นส่วนตัวของครอบครัว (family privacy) ในหลายสังคม กฎเกณฑ์ที่กำหนดความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้กลายเป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้สังคมเข้าไปควบคุมแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว โดยเฉพาะระบบครอบครัวเดี่ยวในสังคมอุตสาหกรรมเมืองเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น ทำให้ไม่มีผู้ใดเข้าไปห้ามปราม ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
9. การเป็นสมาชิกกลุ่มโดยไม่สมัครใจ (involuntary membership) กล่าวคือในความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานั้น มีลักษณะของความสัมพันธ์ที่เป็นไปโดยไม่สมัครใจ ซึ่งก็คือ การที่สังคมคาดหวังให้บุคคลที่แต่งงานกันต้องอยู่ด้วยกันจนกระทั่งตายจากกัน รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้สามีภรรยาจำต้องอยู่ด้วยกัน เช่น การตอบสนองทางด้านอารมณ์ ด้านทรัพย์สินและกฎหมาย ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดแย้งหรือความไม่พอใจ การแก้ไขด้วยการหย่าร้างจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ทำให้คู่สมรสต้องทนอยู่ด้วยกันไป ความขัดแย้งก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
10. ระดับความเครียดสูง (high level of stress) ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเดี่ยว มีลักษณะของความไม่มั่นคง กล่าวคือ ครอบครัวต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่สำคัญซึ่งเป็นไปตามวงจรชีวิตดรอบครัว เช่น การเกิดการบรรลุนิติภาวะการล่วงเข้าวัยชรา การเกษียณ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนในครอบครัวอย่างมาก ครอบครัวจึงเป็นสถานที่ที่มีความเครียดกว่ากลุ่มสังคมอื่น ทำให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย
11. ความรู้เกี่ยวกับประวัติชีวิตของกันและกัน (extensive knowledge of social biographies) เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวจะรู้ประวัติของกันและกันเป็นอย่างดี เช่น รู้ถึงความสามารถ จุดอ่อน จุดแข็ง ความชอบ ความไม่ชอบ ต่างจากการเป็นสมาชิกในระบบอื่นที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน เมื่อเกิดความขัดแย้งจึงรุนแรงกว่าระบบอื่น เพราะสามารถโจมตีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องของอีกฝ่ายได้ตรงจุด
จากลักษณะเฉพาะของครอบครัวทั้ง 11 ประการนี้ ทำให้ครอบครัวมีโอกาสที่จะเกิดความขัดแยังได้สูงกว่ากลุ่มทางสังคมอื่นๆ ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวจะนำไปสู่สถานการณ์ความรุนแรง ดังนั้น ความรุนแรงในครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่'เสมอ
ครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ประเทศชาติใดจะเจริญก้าวหน้าประชากรมีคุณภาพหรือไม่ ปัจจัยหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องมีสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง ครอบครัวที่ดีเป็นพื้นฐาน การหล่อหลอมให้เกิดประชากรของสังคมที่ดีมีคุณภาพ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นทั้งปัญหาสังคมและอาชญากรรมที่นับวันยิ่งรุนแรงมีรูปแบบที่ซับซ้อน และมีจำนวนมากขึ้น ทั้งที่มีให้เห็น ตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือที่ไม่ได้รับทราบอีกเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีหน่วยงานและความร่วมมือจากหลายฝ่ายมากขึ้นในการพยายามแก้ไขและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุมากขึ้น และมีรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น
สาเหตุของการใช้ความรุนแรงในครอบครัวมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้
1. ปัจจัยครอบครัว เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากที่สุด พบว่าร้อยละ 30 ของบิดามารดาที่ทำทารุณกับบุตรของตัวเองจะมีประวัติเคยถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวช่วงวัยเด็กมาก่อน นอกจากนี้ความรุนแรงจะเกิดขึ้นหรือไม่จะต้องมีความเปราะบางหรือแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาความรุนแรง ( Diathesis) และความเครียด (stress) ครอบครัวที่มีความเสี่ยงสูงในการที่จะเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ ฟอแม่เคยถูกทารุณในวัยเด็กพ่อแม่ที่เจ็บป่วยทางจิตเวชหรือติดสารเสพติด พ่อแม่อายุน้อยขาดทักษะในการเลี้ยงดูบุตร มีการหย่าร้าง ครอบครัวที่ทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ หรือมีลักษณะโดดเดี่ยว เป็นต้น
2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาความยากจน ว่างงาน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเครียดในครอบครัวและมีการกระทำรุนแรงในครอบครัวตามมาได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงลักษณะนิสัยการใช้จ่ายเกินตัว วัตถุนิยม ทำให้มีการกู้หนี้ยืมสิน เกิดปัญหาความเครียดตามมาได้
3. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมที่ขาดความปลอดภัยมีความรุนแรงให้พบได้บ่อยๆ มีการใช้สารเสพติดในสังคม มีแหล่งอบายมุข ติดการพนัน รวมถึงอิทธิพลจากสื่อต่างๆทั้งสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วีดีโอ อินเตอร์เนต ที่มีการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารต่างๆ และการล่อลวงเด็กหรือสตรีไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ การฝึกให้ครอบครัวจัดการกับความตึงเครียดได้ดี (Stress management skill) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว
ความรุนแรงในครอบครัวมี 3 ประเภท
1. ความรุนแรงระหว่างคู่สมรส (intimate partner abuse)
2. ความรุนแรงต่อเด็ก (child abuse)
3. ความรุนแรงต่อผู้สูงอายุ (elder abuse)
ผลกระทบของปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
ผลกระทบของปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ผลกระทบด้านร่างกายที่รุนแรงที่สุดอาจเสียชีวิต หรือรองๆ ลงมาเป็นการบาดเจ็บทางร่างกายรูปแบบต่างๆ กระดูกหัก ร้าว ฟกช้ำ แผลฉีกขาด ไปจนถึงกระทบต่อการทำงาน ทำให้ต้องขาดงาน ลาป่วยบ่อยๆ ได้ ผลกระทบด้านจิตใจและอารมณ์เป็นผลกระทบที่รุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าด้านร่างกายเลย บางครั้งอาจประเมินออกมาเป็นจำนวนเงินไม่ได้ เป็นผลกระทบที่ส่งผลระยะยาวยิ่งกว่าบาดแผลทางร่างกายมากนัก บางครั้งก็อาจนำไปสู่ภาวะโรคทางจิตเวชหลายๆ อย่างได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ปัญหาการใช้ยาเสพติด หรือโรคความผิดปกติทางจิตใจ ภายหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรงในชีวิตหรือที่เรียกกันว่า โรคพีทีเอสดี (Postraumatic stress disorder) หรือบางครั้งพบใหลายภาวะร่วมกัน มีรายงานในประเทศแคนาดา (national non-institutionalized studies) ว่าผู้ป่วยพี่ทีเอสดีจะมีภาวการณ์ใช้สารเสพติด ร่วมด้วยสูงถึง 60% ในผู้ชาย และ 80% ในผู้หญิง (Pamela stewart, Carol Parker(2006 ) นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบถึงประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง และการปฏิบัติหน้าที่ในบทบาทสมาชิกของครอบครัวที่ผิดปกติได้ ที่สำคัญเหยื่อของการถูกกระทำความรุนแรง รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในการเป็นผู้กระทำหรือใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นต่อไป
ด้านพุทธิปัญญา (cognitive pathways) จะรวมถึง ความเชื่อ ทัศนคติ และการรับรู้เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว ตัวอย่างเช่นเด็กที่เคยถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวมาก่อน มีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงความสามารถในการเชื่อมโยงกับปัญหาทางสุขภาพในปัจจุบันด้วยที่สำคัญกว่านี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างการถูกทำร้ายในวัยเด็กกับการประสบความสำเร็จด้านการศึกษา (education achievement) พบว่าเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงจะมีผลลัพธ์ทางการศึกษาที่แย่ลงอย่างชัดเจน รายงานของ Solomon and Serres' พบว่า เด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงโดยทางคำพูดต่าง จะได้คะแนนการทดสอบทางภาษาต่ำกว่าเด็กทั่วไปรายงานของ Kinard '' พบว่าเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง จะได้ผลการทดสอบที่น้อยกว่า, ความเอาใจใส่ต่อการเรียนลดลงและต้องการระบบการศึกษาพิเศษสูงกว่าเด็กทั่วไป รายงานของ Eckenrede et al." พบว่าเด็กที่ได้รับการดูแลเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสมจะได้จะแนนเฉลี่ยด้านการอ่านและคำนวณน้อยกว่าเด็กทั่วไป โดยเฉพาะย่างยิ่งในเด็กที่ถูกทอดทิ้ง (Neglected children) จะได้คะแนนต่ำกว่าเด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงทางกายหรือล่วงละเมิดทางเพศ (physicallyor sexually abused children) Perez แล:Widowm' 2 ยังพบว่าความสามารถด้านวิชาการ การศึกษาและความเฉลียวฉลาดนี้ส่งผลกระทบระยะยาวจนถึงเป็นผู้ใหญ่
ทฤษฎีที่ใช้ในการจัดการความรุนแรง
ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นมีแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ทั้งทางตะวันตก ตะวันออกและของไทย ที่ใช้สำหรับการจัดการความรุนแรง สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. แนวทางแก้ไขทางจิตวิทยา ความบังคับเป็นความคับแค้นใจที่ไม่สามารถปฏิบัติอะไรลงไปได้ เมื่อหนทางที่จะสู่เป้าหมายถูกขัดขวาง ทำให้คนๆนั้นเกิดความวิตกกังวลรู้สึกกดดันและตึงเครียด ถ้าความข้องใจสะสมเป็นเวลานานๆ อาจก่อให้เกิดความเจ็บป่วยหรือเกิดความก้าวร้าวทางความคิดและการกระทำได้ วิชีการระบายความดับข้อง ใจเพื่อลดความก้าวร้าวในปัจเจกบุคคลในทางจิตวิทยามี ดังนี้
(ก) หากมีความกับข้องใจเพราะสาเหตุที่เกิดจากตนเอง เช่น พิการทางร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็ให้กำลังใจต่อตัวเองดีที่สด ขณะเดียวกันก็พยายามหาความสามารถอื่นๆที่ตนเองมีอยู่มาสร้างเป็นเป็นจุดแข็งให้กับตนเอง เพื่อเอาชนะปมด้อยต่างที่เกิดขึ้นตนเอง
(ข) หาที่ปรึกษาหรือหาใครสักคนที่เป็นมิตรและไว้วางใจได้ โดยมีการปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น ได้มีการพูดคุยและระบายให้ฟัง แม้ว่าการระบายนั้นจะไม่สามารถหาวิธีการแก้ไขได้ แต่การที่มีคนรับฟังปัญหาจะทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ลดความข้องใจลงไปได้
(ค) เอาชนะความข้องใจด้วยวิธีสร้างสรรค์ โดยการสำรวจดูว่าความกับข้องใจนั้น เป็นสิ่งที่ตนเองสามารถแก้ใขได้หรือไม่ และ พยายามหาวิธีแก้ไข เช่นหากทำงานผิดพลาด ก็พยายามหาสาเหตุของความผิดพลาดนั้น แล้วค่อยๆ แก้ไข
(ง) ใช้วิธีเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนบรรยากาศ เช่นมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกคับข้องใจมาก ก็เลี่ยงตัวออกมาจากเหตุการณ์นั้นสถานที่นั้น
(จ) ในทางจิตวิทยา การทำโทษเพื่อลดความก้าวร้าวในบุคคล ถือเป็นวิธีที่ไม่สร้างสรรค์ เพราะเป็นการสร้างตัวแบบที่ก้าวร้าวให้ดู ผู้ถูกทำโทษอาจไปแสดงความก้าวร้าวต่อแก่ผู้อื่น
2. แนวทางแก้ไขทางสังคมวิทยา ซึ่งมีแนวคิดและทฤษฎีต่างๆในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง ดังนี้
(ก) ทฤษฎี "อะโนมี" ของ เมอร์ตันนักสังคมวิทยาผู้มีชื่อเสียงกล่าวว่า"ที่ใดก็ตามที่
มีการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างคนต่างที่มีการให้ค่าแก่เพศทั้งสองแตกต่างกัน และการบรรลุถึงบทบาททางเพศดังกล่าว ถูกยับยั้งหรือประสบอุปสรรค ที่นั่นก็จะมีอัตราการเกิดความรุนแรงแรงทางเพศสูง" กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ถ้าสังคมใดส่งเสริมให้เกิดกวามเท่าเทียมทางเพศกันมากขึ้นเท่าใด อัตราการเกิดความรุนแรงทางเพสทางสังคมนั่นย่อมจะลดลงเท่านั้น และถ้าสังคมใดตกอยู่ในภาวะอะโนมีแล้ว สมาชิกในสังคมส่วนมากจะจงใจละเมิดกฎหมายของบ้านเมืองกันมาก
สาระแนวคิดจากทฤษฎีนี้ ทำให้ได้แนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ โดยคนในสถาบันครอบครัว และสถาบันที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันขจัดความไม่เป็นธรรมเรื่องการให้คุณค่าทางเพศ รวมถึงบทบาทในครอบครัวที่เหลื่อมล้ำกันระหว่างหญิงและชาย หรือสามีภรรยาให้ไปหมด ไม่ยกย่องบทบาทของสามีว่าเหนือกว่าบทบาทของภรรยา แต่เน้นที่บทบาทสำคัญของทั้งสองฝ่ายในฐานะที่เป็นส่วนประกอบในการสร้างครอบครัว ต่างเคารพในหน้าที่และบทบาทของกันและกัน ให้มีความรู้สึกต่างฝ่ายว่ามิได้มีความสำคัญด้อยไปกว่ากัน ซึ่งจะทำให้รู้สึกเสมอภาคกันไม่มีฝ่ายใดที่มีอำนาจหรือสิทธิพิเศษในการที่จะแสดงความก้าวร้าวและก่อความรุนแรงต่ออีกฝ่ายหนึ่งได้โดยชอบธรรม เมื่อสังคมไม่สนับสนุนหรือเห็นดีด้วยกับการล่วงละเมิสิทธิคังกล่าวของคู่สมรสหรือสามีภรรยาในสถาบันครอบครัว ผู้ที่กระทำความรุนแรงถือเป็นผู้ที่ละเมิดจริยธรรมในสังคมต้องพิจารณาแก้ไขพฤติกรรมของตนเอง มิฉะนั้นจะกลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจ
(ข) ทฤษฎีไร้ระเบียบหรือโกลาหล ของเอดเวิร์ดลอร์เรนซ์ อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัตซึ่งหมายถึง ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาที่ เปลี่ยนแปลงไป โดยมีลักษณะของระบบไร้ระเบียบ หรือโกลาหลจะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบแท้จริงแล้ว ระบบไร้ระเบียบหรือโกลาหลนี้ เป็นระบบแบบไม่สุ่มหรือระบบที่ซุกซ่อนความเป็นระบบอยู่ในความไร้ระบบตัวมันเอง
(ค) แนวคิด "ตะแกรงแห่งความสัมพันธ์" ของ เวย็น อี.เบเกอร์ แนวคิดนี้เป็นแนวคิดเกี่ยวกับสัมพันธภาพที่น่าสนใจสามารถนำไปวิเคราะห์ปัญหาต่างๆได้ในระดับต่างๆ เช่นในระดับครอบครัว ระดับผู้ให้และผู้รับบริการ ระดับประเทศหรือนโยบายสาธารณะ เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ที่ลงตัวหรือไม่ลงตัวจากความคาดหวังที่ตรงกันหรือต่างกันโดยอาศัยตะแกรงแห่งความสัมพันธ์ชนิดต่างๆ เนื่องความสมพันธ์เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา วิเคราะห์ และนำไปแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยแยกออกจากประเด็นความขัดแย้ง แล้วแก้ไขจึงจะสามารถเก้ไขปัญหาความขัดแย้งแล้วแก้ไขจึงจะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้
(ง) ทฤษฎีตัวยู ของ ออตโต้ ซี .ชาร์เมอร์ แนวคิดนี้คือ เมื่อมีการรับสาส์นอะไรมา
ก็ตามโดยทั่วไปจะผ่านกระบวนการตัดสิบบนพื้นฐานของผู้รับรู้ ซึ่งประกอบไปด้วย อารมณ์ และประสบการณ์ที่ผู้รับรู้มี รวมถึงการตีความ ด้วยตัวผู้รับรู้ตามผู้พูดที่ ได้ให้สาส์นนั้นมา เช่น คำพูดที่มาจากเพื่อนๆ พี่น้อง พ่อแม่ ก็ให้คุณลักษณะต่างจากคำพูดเดียวกันที่มาจากปากคนอื่น ผู้รับรู้พิจารณาแต่ตัวตนอยู่ ไม่ได้พิจารณาจากสาส์น ทำให้เกิดปัญหาด้านการมีปฏิกิริยาสนองตอบโดยทันทีในทางลบซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง ก้าวร้าวจนถึงสงคราม ทฤษฎีตัวยูเสนอให้มีการฟังให้ลึกถึงตัวสาส์นด้วยปัญญา โดยการไม่ด่วนตัดสินใจ แต่ให้แขวนรายละเอียดของสาส์นที่ได้รับฟังมานั้นไว้ก่อน และนำมาพินิจพิจารณาอย่างสงบและมีสติ เมื่อผู้รับรู้เกิดปัญญาแล้วจึงจะสามารถเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทำให้เห็นอนาคตและกลับไปพิจารณาอดีต ปัจจุบันด้วยกระบวนการทางปัญญาการที่คนในครอบครัว เช่น สามีภรรยา หรือ พ่อแม่ และลูก มักตีความคำพูดของกันและกันผิดไปมาก เป็นปรากฏการณ์ที่พบอยู่เสมอโดยเฉพาะเมื่อฝ่ายต่างมีอคติต่อกัน ขาดการยั้งคิดและพิจารณาความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้นๆ อย่างลึกซึ้งเสียก่อน จึงเกิดการกระทบกระทั่งกันทางอารมณ์ และนำสู่ความรุนแรงในที่สุด ดังนั้น คนในครอบครัวจึงสามารถนำ แนวคิดทฤษฎีตัวยูของหาร์เมอร์คังกล่าวไว้ข้างต้นมาใช้เป็นวิธีแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดระหว่างกันได้ ด้วยการฝึกใช้กระบวนการทางปัญญาในการคิด พิจารณาไตร่ตรองสาส์นที่ส่งถึงกันให้ลึกซึ้งเสียก่อนไม่ใจร้อนตอบโต้สาส์นอย่างไม่ยั้งคิด อันจะทำให้เกิดความรุนแรงต่อกันได้
(จ) วิธีการแบบอหิงสาหรือสันติวิธี หรือยุทธวิธีไร้ความรุนแรง คือ วิธีหรือยุทธวิธีที่หลีกเลี่ยงความรุนแรงในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด หรือละเว้นการกระทำที่ไม่ใช้การออกแรงบีบบังคับหรือใช้กำลังรุนแรง และมักเป็นรูปแบบที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางจิตใจวิธีการนี้เหมาะที่สุดกับคู่กรณีที่ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน และกันในการคำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุข เช่น คนในครอบครัว ชุมชน ประเทศ และสังคมเดียวกัน ตัวอย่างของผู้ที่ใช้วิธีการในแบบอหิงสาที่ทั่วโลกรู้จักกันดีก็คือ ท่านมหาตคานรี ผู้นำชาวอินเดีย ผู้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยอินเดียจากการยึดครองของอังกฤษนับเป็นตัวอย่างของผู้นำที่น่ายกย่องในการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้วยความสงบ ไม่ใช้ความก้าวร้าวรุนแรง ป้องกันตบเองในแบบสมแก่เหตุ แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลในสังคมที่ไร้การศึกษา หรือไร้จริยธรรม ท่านก็เป็นต้นแบบในการประท้วงอื่น ๆ ในแบบอหิงสาในเวลาต่อมาวิธีการแบบอหิงสาหรือสันติวิธี ที่ไร้ความรุนแรงนี้สามารถนำ มาใช้แก้ไขความสัมพันธ์ที่
เป็นไปในทางก้าวร้าวรุนแรงในครอบครัวได้เป็นอย่างดี โคยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา และระหว่างพ่อแม่ และลูก ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในแบบที่ต้องพึ่งพากัน โดยเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องการเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ ก็ต้องหลีกเลี่ยงการบีบบังคับทั้งทางวาจาและทางกาย เช่นในกรณีที่ภรรยาต้องการให้สามีเลิกไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น ก็ควรใช้วิธียกเหตุผลแห่งความไม่สงบสุขในครอบครัว และเรื่องของการเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ถูกรวมถึงการทำจะทำให้ถูกมีปัญหาทางจิตใจ แทนที่จะใช้อารมณ์ก้าวร้าวต่อสามีซึ่งอาจทำให้สามีบันดาลโทสะและนำไปสู่การต่อประทุยร้ายกันทางร่างกายจนได้รับความบาดเจ็บหรือพ่อแม่ที่ต้องการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูก โดยฉพาะลูกวัยรุ่น เช่น ไม่ต้องการให้ลูกเที่ยวเตร่ หลักเลิกเรียน ก็ต้องไม่ใช้วิธีดุด่าด้วยอารมณ์ก้าวร้าว หรือไม่ใช้วิธีกักขังถูกจนเกินกว่าเหตุ แต่ต้องใช้เหตุผลมาอธิบายให้ลูกเข้าใจ อาทิ พ่อแม่เป็นห่วงสุขภาพ การเรียน รวมถึงความปลอดภัยของลูกและขอร้องให้ลูกปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมขึ้น ลูกก็อาจหวนกลับมาคิดได้ถึงความหวังดีของพ่อแม่ ความรุนแรงก็จะทุเลาลงได้
การจัดการความรุนแรงในครอบครัว
การจัดการความรุนแรงในครอบครัว หมายถึงการหาแนวทางที่จะทำให้สมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ดังนั้น กรอบครัวจะมีความสุขได้ต้องมีองค์ประกอบที่พร้อม 3 ลักษณะ ดังนี้ (สมพร เทพสิทธา, 2538, น.57-61)
1. ความมั่นคงในครอบครัว ความมั่นคงในครอบครัวมี 3 ด้านคือ
(1) ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ คือ ครอบครัวมีสัมมาอาชีพ มีรายได้ที่แน่นอนและเพียงพอแก่ความจำเป็น มีความเป็นอยู่เหมาะสม ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ฝืดเคืองเกินไป
(2) ความมั่นคงทางสังคม คือ มีความสัมพันธ์อันดีกับญาติพี่น้อง มิตรสหายชุมชนและสังคม มีการให้กันและกัน อ่อนโยนต่อกัน ประพฤติต่อกันอย่างเสมอต้นเสมอปลายและทำตนให้เป็นประ โยชน์ต่อสังคม
(3) ความมั่นคงทางจิตใจ ได้แก่ การมีความรัก ความเอื้ออาทร ความเข้าใจ มีความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน รู้จักข่มใจ ควบคุมจิตใจและอารมณ์ อดทนต่อความยากลำบากร่วมกันเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อครอบครัว คู่ชีวิตและลูก
2. การสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว คือสมาชิกในครอบครัวมีความรักใคร่ผูกพันกันห่วงใยเอื้ออาทรกัน ความสัมพันธ์อันดีน่าจะทำให้คนกลุ่มนั้นดำรงสถานะครอบครัวไปยาวนานไม่แตกสลายกลางคัน ซึ่งความสัมพันธ์ในครอบครัวประกอบไปด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา มีความรักใคร่กัน ปรับตัวเข้าหากัน เกื้อกูลกันและกันรับผิดชอบต่อปัญหาและร่วมกันแก้ปัญหาที่ครอบครัวเผชิญ
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก เป็นความผูกพันที่โยงใยมาจากความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา มีความรักใคร่ผูกพันห่วงใยกัน คิดถึงจิตใจของกันและกัน
ความสัมพันธ์พี่น้องกัน มีความรักใคร่ ห่วงใย เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือป้องกันซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจะแน่นแฟันย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ความยุติธรรม ความรัก ความเข้าใจของพ่อที่มีต่อลูกทุกคนเท่ากันด้วย
3. การใช้เวลากับครอบครัว สมาชิกในครอบครัวมักมีภาระหน้าที่จะต้องทำงานอยู่นอกบ้านค่อนข้างมาก ทั้งการทำงานและการเรียนหนังสือ ผู้หญิงผู้ชายมีโอกาสทำงานอยู่นอกบ้านเท่าเทียมกัน ดังนั้นการใช้เวลาว่างและนันทนาการร่วมกัน โดยการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันเมื่อมีโอกาส เช่น ปลูกต้นไม้ ดูภาพยนตร์ ทานอาหารนอก พูดคุยในสิ่งที่สนใจร่วมกัน จะทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกมีความต้องการซึ่งกันและกัน มีความเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ในการแก้ปัญหาภายในครอบครัวนั้นควรพยายามที่จะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวคำนึงหน้าที่และความรู้สึกที่ดี มองชีวิตในแง่ดี ดังนั้นในการให้คำปรึกษาจึงทำได้ ดังนี้
1. ให้สมาชิกครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาสิ่งที่สมาชิกครอบครัวประสงค์ โดยให้สมาชิกในครอบครัวคำนึงถึงหน้าที่เ และความรู้สึกอารมณ์ที่สมาชิกครอบครัวประสบ โดยสามารถที่จะสัมผัสรับรู้และยอมรับความรู้นั้น ๆ ผู้ให้คำปรึกษาจะใช้เทคนิคต่าง ๆ ดังนี้
1.1 ใช้การจิตนาการ (Fantasy Imagination)
1.2 ใช้การประติมากรรม หรือการปั้นสมาชิกครอบศรัว (Family
1.3 ใช้การวาดภาพครอบครัว (Family Drawing)
1.4 ใช้บทบาทสมมติ (Role Playing)
1.5 ใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) โดยการใช้ประโยคที่ใช้สรรพนาม "ฉัน" ควบคู่กับการแสดงความรู้สึกที่เป็นส่วนตัวและรับผิดชอบในสิ่งที่พูดซึ่งจะเป็นการเปิดเผยความรู้สึก ความต้องการที่แท้งริง ไม่เสแสร้งจริงใจ อันจะช่วยให้เกิดการสื่อสารที่ไม่แฝงเร้น ผู้พูดก็จะรู้สึกมีคุณค่า และภาคภูมิใจตนเอง ผู้ฟังก็จะเกิดความรู้สึกที่ดี สามารถรับรู้ได้ว่าผู้พูดสื่อสารด้วยความจริงใจ
2. จากการที่สมาชิกในครอบครัวสามารถรับรู้ตระหนักถึงความรู้สึกและยอมรรับความรู้สึกนั้นๆ ได้ จะช่วยให้สมาชิกคนนั้นสามารถตัดสินใจตกลงใจที่จะเลือกทางใดทางหนึ่งซึ่งจะทำให้สัมพันธภาพระหว่างสมาชิกในครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น หากประเด็นปัญหาของสมาชิกในครอบครัวคือ การสื่อสารที่ไม่เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกห่างเหิน ขัดแย้ง ตึงเครียด (ลักษณะ ไม่อยากพูดคุยด้วย) ผู้ให้คำปรึกษาสามารถฝึกสมาชิกในครอบครัวให้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม
2.1 หากสมาชิกแสคงท่าทีและหรือใช้ภาษาถ้อยคำที่ "กล่าวโทษผู้อื่น(Blamer)" ผู้ไห้คำปรึกษาจะฝึกให้สมาชิกเปลี่ยนรูปแบบ (Transforms)ของการแสดงออกนั้นเป็น "การเอาใจใส่ ใส่ใจ เอื้ออาทรอย่างแท้จริง(Sculpting)
2.2 หากสมาชิกแสดงท่าทีและภาษาด้วยถ้อยคำที่ยึดติดแน่นกับ “กฎเกณฑ์และเหตุผล" ผู้ให้ดำปรึกษาจะฝึกให้สมาชิกเปลี่ยนรูปแบบการแสดงออกเป็น "ท่าทีหรือคำพูดที่แสดงถึงปัญญาที่แท้จริง”
2.3 หากสมาชิกแสดงท่าทีหรือใช้ภาษาด้วยถ้อยคำที่ "ขาดความจริงจังไม่สอดคล้อง หรือแทบไม่มีความหมายอะไรเก็บเรื่องราวที่กำลังกล่าวถึง" ผู้ให้คำปรึกษาจะฝึกให้สภาพการณ์ที่ตึงเครียด หรือ สภาพการณ์ที่ปัญหา ซึ่งลักษณะของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คือ มีท่าทีตอบสนองสอดคล้องหรือผสมกลมกลืนกับสถานการณ์
3. เนื่องจากผู้ให้ปรึกษาเชื่อว่า "มนุษย์ทุกคนมีพลังความสามารถที่จะตอบสนอง
ความต้องการหรือเผชิญปัญหาหรือจัดการปัญหานั้นๆ" ผู้ให้คำปรึกษาจะเป็นเพียงผู้ที่จะช่วยให้
ผู้รับคำปรึกษาหรือสมาชิกครอบครัวได้ตระหนักรู้ว่าเขามีศักยภาพที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการ และเรียนรู้หนทางที่จะนำศักยภาพนั้น ๆ ไปใช้ ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ให้ดำปรึกษาจะทำหน้าที่สนับสนุนให้กำลังใจผู้รับคำปรึกษาให้กล้าที่จะลงมือกระทำ ให้กล้าแสดงออกกล้า เสี่ยง( Risks)ทั้งนี้ เพื่อให้รับคำปรึกษาได้รับผิดชอบชีวิตตนเอง เช่น "บางคนที่มีเรื่องราวบางอย่างที่ค้างคาใจไม่สบายใจ จยากจะบอกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องรับทราบก็ไม่กล้ำ กลัวเขาจะ โกรธก็เลยทำให้ตนเองไม่สบายใจ" ในกรณีเช่นนี้ผู้ให้คำปรึกษาจะ ทำหน้าที่เป็นครู (As a teacher) โดยสอนให้ผู้รับคำปรึกษาใช้ "ภาษาใหม่ (A New Language)" โดยเปลี่ยนจาก "ภาษาถ้อยคำและภาษาท่าทางเดิม" ที่ไม่สอดคล้องกันและขัดแย้งกัน ซึ่งทำให้การสื่อสารชะงัก มาเป็น "ภาษาถ้อยคำและภาบาท่าทางใหม่" ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ซึ่ง งจะทำให้ผู้รับคำปรึกษาพัฒนาทักษะในการสื่อสารได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
4. ในการให้คำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาจะพบสมาชิกที่มาปรึกษาและจะพบกับสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ผู้ให้คำปรึกษาจะ พบสมาชิกเป็นรายบุคคลหรือสมาชิกทุกคนในครอบครัวนั้น จะขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหา ทั้งนี้เพื่อจะได้ทราบว่า สมาชิกแต่ละคนควรจะไห้ความร่วมมืออย่างไร จึงจะทำให้สัมพันธภาพในครอบครัวมีความสุข
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับครอบครัว หรือครอบครัวศึกษา ได้มีนักวิชาการใช้ทฤษฎีศึกษาหลายทฤษฎีโดยเฉพาะทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ เช่น ศึกษาครอบครัวค้านการหย่าร้างและปัญหาต่างๆ ของครอบครัวปัจจุบัน นักวิชาการได้ใช้ทฤษฎีกระบวนการครอบครัว (Family Process) เข้ามาศึกษาโดยเนั้นพัฒนาการมนุษย์ในระบบนิเวศวิทยา โดยเสนอว่า บุคคลและสุขภาพครอบครัวเป็นเรื่องสลับซับซ้อนที่ต้องทำการศึกษาในเชิงความรู้สึกนึกคิด และสภาพแวดล้อม ครอบครัวสุขภาพดีจะต้องรู้จักการสื่อสารด้วยการพูด และทำความเข้าในกันอย่างเปิดเผย รู้จักยอมรับและเข้าใจแนวคิดของแต่ละฝ่ายด้วยการตกลง ยอมรับมากกว่าการขัดแย้งรูปแบบลำดับขั้นตอนการดำเนินชีวิตการแต่งงาน (Stages of Marriage)
ข้อมูลอ้างอิง
พระจันทร์ ตาปูลิง. (2556). การจัดการความรุนแรงในครอบครัวตามหลักพระพุทธศาสนา = The Buddhist approach to the management of family violence / พระจันทร์ ตาปูลิง. เชียงใหม่ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://cmudc.library.cmu.ac.th/frontend/Info/item/dc:121053
เบญจพร ปัญญายง. (๒๕๔๕). ความรุนแรงในครอบครัว. กรุงเทพมหานคร: กรมสุขภาพจิต.
บทความนี้ยินดีให้นำไป เผยแพร่เพื่อความรู้ได้ โดยกรุณาอ้างอิงแหล่งที่มา
ปิยธิดา สุรินทร์เปา. (2566). ความรุนแรงในครอบครัว FAMILY VIOLENCE